เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล มีสามีภรรยาคู่หนึ่งผู้เกิดมาในกองเงินกองทองไม่เคยแสวงหาโภคทรัพย์นับแต่เกิดมา มารดาบิดาทั้งสองผ่ายได้มอบเงินสดให้บุตรธิดาของตนคนละ ๔๐โกฏิ รวมเข้ากันเป็น ๘๐ โกฏิ สมบัตินอกนี้มีบ้านเรือนและเครื่องแต่งตัวเป็นต้นไม่นับ
เริ่มแต่วันแต่งงาน คู่รักผู้ระเริงในกามคุณทั้ง ๕ พากันกระหยิ่มยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ราวกับว่าจะเย้ยความอนาถาในอนาคต ความเห็นมันช่างตรงกันเอาเสียเหลือเกิน ในเมื่อผลกรรมมันจะตามสนองสองสามีภรรยาพากันปรารภว่าสมบัติมหาศาลเห็นปานนี้ ถึงแม้ไม่แสวงหามนุษย์คนไหนจะมีอายุ ๑๐๐ ปีก็ใช้ไม่หมด
ประโยชน์อะไรกับการแสวงหาทรัพย์เป็นการยุ่งยากเปล่าๆ อย่าเลยเราทั้งสองจงพากันมาหาความสุขในชีวิตนี้ให้สมปรารถนาเสียดีกว่า แล้วทั้งสองก็พากันใช้จ่ายทรัพย์อย่างชนิดที่เรียกว่ามือเติบ ต้องการอะไรใช้จ่ายไม่อั้น สุดแล้วแต่ชอบใจในทางไหน ซึ่งตนเห็นว่าจะเป็นที่ทำให้ร่าเริงใจได้
เขาทั้งสองก็มีนิสัยชอบใจเช่นเดียวกันกับมนุษย์เพื่อนร่วมโลกอื่นๆ นั่นก็คือสุรา นารี พาชี และกีฬาเป็นต้น ซึ่งตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ตรัสว่าเป็นอบายมุข ใครประกอบเข้าแล้วย่อมนำมาซึ่งความฉิบหาย สองสามีภรรยาคู่นี้ก็อยู่ในข่ายนั้นเหมือนกัน
ความคิดในเบื้องต้นผิดพลาดไปหมดเมื่อแก่เฒ่าชรามากทำงานไม่ไหวแต่ตัวยังไม่ตาย ใช้จ่ายทรัพย์หมดไปก่อน หมดตลอดถึงบ้านเรือนไร่นา ปศุสัตว์ต่างๆ จำหน่ายขายมาบำรุงอบายมุข ทำอย่างไรทีนี้ยังเหลืออยู่วิธีเดียว ซึ่งเป็นวิธีของคนอนาถา วิธีนั้นก็คือพากันปรารภจะออกขอทานตามหมู่บ้านและทุกตรอกซอกซอยตามถนนต่างๆ
วันหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตูศาลา เพื่อรอรับอาหารที่เหลือเศษจากภิกษุสามเณร พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตร แล้วตรัสแก่พระอานนท์ว่า
เศรษฐีคนนี้ถ้าเธอประกอบอาชีพเมื่ออยู่ในปฐมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีที่หนึ่งในกรุงราชคฤห์นี้
ถ้าเธอประกอบอาชีพเมื่ออยู่ในมัชฌิมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีที่สอง ในกรุงราชคฤห์นี้
ถ้าเธอประกอบอาชีพเมื่อปัจฉิมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีคนที่สามในกรุงราชคฤห์นี้
หากเธอออกบวชแต่วัยต้น เขาจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ภรรยาของเขาจะได้สำเร็จพระอนาคามี
หากเธอออกบวชในวัยกลาง เขาจะได้สำเร็จพระอนาคามี
ภรรยาของเขาจะได้สำเร็จพระสกทาคามี
หากเธอออกในวัยสุดท้ายเขาจะได้สำเร็จเป็นสกทาคามี
ภรรยาเขาจะได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
นี่เขามาฉิบหายเสียจากประโยชน์ทั้งสอง คือเสื่อมเสียจากโภคทรัพย์ และสามัญผลอันจะพึงได้รับ
ดั่งนี้ ที่ชักอุทาหรณ์มาเล่าให้ฟังนี้ ก็พอจะมองเห็นแล้วว่า กาลเวลามีความสำคัญแก่ความเป็นอยู่ของคนเราอย่างไร วัน คืน เดือน ปี ถึงแม้จะเป็นธรรมดาของดินฟ้าอากาศก็ตามที แต่ชีวิตอายุของมนุษย์สัตว์ ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้น วัน คืน เดือน ปี เป็นเครื่องวัดชีวิตอายุของมนุษย์ทั้งหลาย
ถึงใครจะคำนวณนับมันหรือไม่ก็ตาม แต่มันจะต้องนำเอาชีวิตอายุของมนุษย์ทั้งหลาย ถึงใครจะคำนวณนับมันหรือไม่ก็ตาม แต่มันจะต้องนำเอาชีวิตของมนุษย์เหล่านั้นไปด้วยทุกขณะ ชีวิตของมนุษย์สัตว์จะหมดไปตามมันทุกขณะ
ผู้ประมาทแล้วได้ชื่อว่าปล่อยให้วันคืน เดือน ปี กลืนกินชีวิตอายุหมดไปเสียเปล่า โดยไม่มีอะไรเป็นเครื่องตอบแทน ผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมดูถูกชีวิตของตน โดยเห็นเป็นของเล็กน้อยด้วย เป็นของไม่มีสาระเปล่าจากประโยชน์ด้วยและรักษาได้ยากด้วย
แต่ไม่ประมาทในการสร้างคุณงามความดี เพื่อให้ทันกับความเป็นอยู่ อันมีประมาณน้อยนั้นๆ ฉะนั้น กาลเวลาจึงมีคุณค่าแก่ผู้ไม่ประมาทแล้วอย่างมหาศาล สามารถให้ผู้เจริญฌานสมาธิโดยปรารภความเสื่อมความสิ้นไปแห่งอัตภาพอันนี้ให้ถึงมรรคผลนิพพานได้
: วันคืนล่วงไปๆ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี